013 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๖

ที่พึ่งอันเกษมที่สุดของมนุษย์ ก็คือการศึกษา ให้เห็น ให้รู้ ให้ถึงจริง ความถึงจริงที่สุด ที่เราเรียกว่า จิตอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด จิตวิญญาณเป็นตัวรู้ จิตวิญญาณ เป็นตัวบงการ จิตวิญญาณ เป็นตัวเข้าใจ เข้าใจในเชิงปัญญา รายละเอียดในโลก และเราอยู่กับโลกเขาอย่างรู้ สิ่งใดเราไม่ติดไม่ยึด ไม่จำเป็นต้องอาศัย เราก็จะไม่อาศัย สิ่งใดที่เราจะละล้างออก ไม่ใกล้ไม่เคียงกันเลย เราก็จะล้างออกอย่าง ไม่ใกล้ ไม่เคียงกัน สิ่งใดพอที่จะต้อง ผ่านบ้าง อาศัยบ้าง เราก็จะผ่านบ้าง อาศัยบ้าง

จนที่สุด สิ่งที่ให้มนุษย์อาศัยนั้น มันมีอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีเพียงปัจจัย ๔ เป็นสำคัญที่สุด นอกกว่านั้น เราก็ใช้อาศัยบ้าง ไม่อาศัยบ้าง เพื่อประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ส่วนบางอย่างนั้น เราไม่อาศัยเลย ผู้อื่นก็ให้เลิก ให้ละ เราไม่สนับสนุน เราไม่ส่งเสริม ทิ้งขาด หรือว่า ดูถูกดูแคลน ข่ม ไม่ให้ผู้ใด ไปหลงติด หลงยึด ให้มันสูญหาย ไปจากโลก อย่าให้ผู้ใด ไปช่วยชีวิตมันไว้เลย ให้มันตายไปเอง ตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น สิ่งใด เราละเว้น เราห่างไกล เราไม่ต้องผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้าง เราก็จะรู้ขนาดหนึ่ง สิ่งต้องอาศัยบ้าง ไม่อาศัยบ้าง มันไม่ใช่สาระ สำคัญอะไร ของชีวิตมนุษย์นัก แต่มันก็เป็นเครื่องอาศัย พอสมควร สำหรับ ฐานะบุคคล แต่ละระดับ เราก็รู้ ห่างบ้าง กลางบ้าง สำคัญมาก ขึ้นมาบ้าง เราก็จะเข้าใจ ในรายละเอียด เหล่านี้

ส่วนสิ่งที่จำเป็น สำหรับชีวิตแท้ๆน่ะ ซึ่งต้องอาศัยแท้ ไม่อาศัยไม่ได้ เมื่อเวลา ถึงคราวอยู่ แล้วจำเป็น เช่นว่า ยารักษาโรค เมื่อเป็นโรค ก็ต้องอาศัยยา ที่อยู่ ที่อาศัย ที่พัก ก็ต้องมีบ้าง สำหรับคนในสังคม หมู่กลุ่มน่ะ แต่สำหรับ ผู้ที่สูงสุดแล้ว คนไว้ใจแล้ว และเราก็ สบายจริงแล้ว เราเป็นคน ไม่มีที่อยู่เลย ก็ได้น่ะ อาศัยตาม โคนไม้ โคนดิน รุกขมูล โคนไม้ อย่างนี้เป็นต้น ก็พิสูจน์ได้ หรือแม้จะให้ อาศัยที่อยู่ ถ้าเขาเห็นว่า ควรจะให้อาศัย ก็ยังพอได้

เครื่องนุ่งห่มก็ถือว่า เป็นความจำเป็น ของสังคม อุจาด ไม่เช่นนั้น สังคมยุคนี้ ไม่นุ่งห่มไม่ดี กันร้อน กันหนาว อินทรีย์พละ เราก็ไม่แข็งแรง บึกบึน เหมือนกับคน สมัยโบราณน่ะ มีภูมิคุ้มกัน ทนต่อดินฟ้า อากาศ ก็สู้คนสมัยโบราณไม่ได้ เราก็ต้องใช้ เสื้อผ้า หน้าแพร กันร้อน กันหนาว กันแมลง สัตว์กัดต่อย อะไรบ้าง แต่ถ้าหัด มักน้อยลงไป สร้างภูมิคุ้มกันเรามากขึ้น ก็ดี เราจะได้หัด มักน้อยลงไปอีก สันโดษลงไปอีก ทนแดด ทนฝน ทนหนาว ทนร้อนอะไรได้ ไม่ต้องพึ่ง สิ่งประกอบ ที่เรียกว่า เครื่องแต่งตัว

ส่วนอาหารนั้น ถึงอย่างไรๆ เราก็จะต้องพึ่ง ต้องอาศัย เมื่อจะยังชีวิต เป็นสิ่งที่เลิกไม่ได้ จนตราบตาย แต่นั่นแหละ ในสิ่งที่มาพอกหุ้ม อยู่ในอาหาร มันก็มีสิ่งที่เราจะตัด ลัดละ ลดลงมา มากเหลือเกิน มากยิ่งกว่าอะไรๆ เพราะในเรื่องของ อาหารนี้ เรานี้จึงต้องศึกษา และพิจารณา ต้องเรียนรู้ ให้แนบเนียน ให้เข้าใจ แก่นสารสาระ ฝึกดูด้วย แม้ข้าวบูด เราก็กินได้ โดยที่เรียกว่า ไม่เป็นโรค ไม่ปวดท้อง เพราะเราสามารถ ใช้สภาพปฏิกิริยา ของธาตุเคมี ที่มันแตกตัวนั้นๆ เข้ากับชีวิตได้ ด้วยซ้ำ กลายเป็น ประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเผื่อว่าจิตใจ หรือว่าสิ่งที่เรา ไม่ได้ฝึกปรือนั้น มันก็จะกลายเป็นโทษ อย่างนี้ เป็นต้น

หรือแม้แต่มันจะสะอาด หรือสกปรก ถ้าตัวเราเอง สร้างภูมิคุ้มกันแล้ว แม้จะกินเชื้อโรค เข้าไปบ้าง อย่าว่าแต่ สกปรกแบบโลกๆ ง่ายๆเลย ต่อให้มีเชื้อโรค ปนเป เข้าไปในอาหารนั้น เราก็จะใช้ เชื้อโรคนั้น เป็นประโยชน์ ในร่างกายเรา ก็ได้ด้วยซ้ำ เป็นภูมิคุ้มกัน อย่างแข็งแรง อย่างนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ประสบ เราไม่ได้ฝึก เราไม่ได้หัด เราก็จะเชื่อยาก แต่ถ้าเราได้ฝึก เราได้หัด เราก็จะเห็นจริง

เพราะฉะนั้น ชีวิตเมื่อได้อบรมเข้ามา จนกระทั่ง ถึงปัจจัยสำคัญ มีชีวิตอยู่ในโลก จึงเป็นชีวิต ที่อยู่เหมือน เหนือวัตถุโลก เหนืออะไรต่ออะไร แม้ที่สุด เรื่องสำคัญ เราเป็นคนอยู่ง่าย และ เป็นคนแข็งแรง เป็นคนเหนือโลก เป็นคนไม่มีทุกข์ แม้แต่ เกิด แก่ เจ็บ ป่วย อะไรต่างๆ นานา ก็ทำอะไร ให้เราทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ ประกอบไปด้วย วัตถุนอก ไปด้วยสิ่งที่เรา ได้มาศึกษากัน เราเข้าใจกัน เพิ่มขึ้น เราจึงเห็นว่า ชีวิตนี้อยู่ง่าย เมื่ออยู่ง่ายแล้ว เราไม่ไปหลงอุปาทาน ที่โลกสร้างว่า อันนั้นสุข ไอ้นี่เพลิดเพลิน อันนั้นอร่อย มนุษย์จำเป็น เราล้างความจำเป็นนั้นมา เราจึงมาเป็น คนที่ไม่ต้อง ไปแสวงหาอีก โลกเขาจะมี สิ่งเหล่านี้ อยู่อย่างไรๆ เราก็รู้เท่าทัน ด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ ด้วยตัวรู้ สิ่งเหล่านั้น จึงมาเป็นตัว ที่จะย้อม ที่จะมาเป็นเจ้า เป็นนาย มีฤทธิ์ มีอิทธิพล ต่อเราไม่ได้ เรารู้ว่า ชีวิตนี้ง่าย ชีวิตนี้ ไม่ต้องไปหลงปรุง หลงแต่ง หลงสังขาร หลงปลอมแปลง มายั่วยวน ชีวิตเรา จึงเป็นชีวิต ที่มีแก่นสาร ง่ายสบาย ไม่ต้องเสียพลังงาน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเห็นว่าเป็นสุข เพราะสิ่งที่เขาหลอก ปลอม หรือว่า มอมเมา มาในโลกนั้น

เราเป็นคนมีชีวิต ที่มีเวลาเหลือ ไม่ต้องบริการตนเอง ไม่ต้องมาประคบ ประหงมตนเอง มีกำลังวังชา และ เราก็เป็นคน ที่ไม่ดูดาย ฝึกปรืออบรมตน ทำงานทำการ มีความชำนาญ มีความสามารถ เป็นคนสร้างสรร แม้แต่หลายๆอย่าง ที่โลกเขาอาศัยบ้าง ไม่อาศัยบ้าง เราก็ยังเกื้อกูลเขาได้ ยิ่งสิ่งที่เป็นปัจจัยแล้ว เราสบายที่สุด จนไม่ต้อง มากระทำ ให้คนอื่นเขาเลี้ยงเราไว้ ได้ง่ายที่สุด เพราะว่า แม้แต่เรื่องปัจจัย ๔ เราก็อาศัย ได้ง่ายที่สุดแล้ว

เพราะฉะนั้น เราจึงมีชีวิตอยู่ อย่างสร้างสรร ที่โลกเขาเป็นอยู่มาก คือสิ่งที่อาศัยบ้าง ไม่อาศัยบ้าง ส่วนใหญ่ของโลก นั่นเอง เราจึงจะมีงาน อยู่กับโลก ในเรื่องของ สิ่งที่เขาอาศัยบ้าง ไม่อาศัยบ้างนั้นเอง เพื่อจะใช้ปัญญา มีนโยบาย ในการที่จะทำ ขั้นตอน ให้คนเขาไต่บันได ละเลิก สิ่งที่มันวุ่น สิ่งที่มันมาก สิ่งที่มันเปลือง สิ่งที่มันไม่ต้อง อาศัยได้ก่อนๆ ไล่เลียงมา ตามขั้นตอน ตามระดับ

เพราะฉะนั้น งานการที่เราจะทำ กับมนุษยโลก จึงไม่ใช่งานการ ในระดับของ ปัจจัย ๔ เท่านั้น แต่เป็นงานการ ของสังขาร พอสมควร ที่เราจะรู้เท่าทัน และเราจะเป็นผู้นำ เป็นคนที่ ไม่ติดด้วยจริง ในใจของเรา ละล้าง ปลดปล่อย ไม่ติด แต่เราก็ยังต้องไป เหมือนกับเรานี่ ต้องร่วมกับเขา มีอยู่ร่วมกับเขา ปนอยู่กับเขา นัยที่ ละเอียดซับซ้อน อย่างนี้แหละ ที่คนไม่รู้ ก็ตู่ท้วงได้ว่า เราเอง ยังไปวุ่น ไปวาย หรือ เราเอง ยังไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง

การคลุกคลีเกี่ยวข้องนี้ เพื่อประโยชน์เขาสำหรับเราเอง จริงนั้นเราเลิก ไม่ต้องไป เที่ยวได้มี สิ่งอย่างนั้น มาเสพย์ มาสุขอะไร ได้จริงๆ เราเป็นผู้มักน้อย สันโดษจริงๆ อันนี้ต้องฝึกฝน และเราก็จะต้องรู้ ความต้อง อนุโลมอยู่ ในภาคสัมมา หรือภาค เป็นประโยชน์ท่าน

คนที่ไม่จริงใจ ไม่ใช้การสัมผัสนี้ ละออกจาก จริงแล้วจึงยาก เพราะว่าเราจะต้อง คลุกคลีบ้างอยู่ ส่วนสิ่งที่ตัดขาด ไม่คลุกคลีเลย อบายมุข เป็นต้นนั้น มันก็ง่ายอยู่แล้ว เพราะว่า เราไม่ต้อง เกี่ยวข้องเลยน่ะ และ เราก็เรียนรู้ เห็นด้วยปัญญาก็ชัด ว่ามันไม่มีความสำคัญ ชีวิตขาดสิ่งนั้นได้ แต่ในโลกของคนอื่น ที่เขายังขาดไม่ได้ เราต้องอนุโลมเขา ในระดับกลางนี้แหละ อันนี้ทุกคน ต้องจริงใจ ต้องรู้ตัวเองเลย และต้องใช้แบบฝึกหัด ในการต้องเกี่ยวข้อง สัมพันธ์อยู่ อย่างนี้แหละ และล้างจิต ล้างใจ ให้สะอาด หรือ จะทดสอบว่า ไม่เลย สำหรับเรา เราจะไม่เกี่ยว ไม่ข้องเลย สำหรับเรา ก็เพื่อให้แน่ เมื่อได้แล้วว่า เออ! แน่ๆ เราไม่ห่วงหาอาวรณ์ เราไม่มี เราก็ไม่ทุกข์ เรามีเราก็ไม่สุข จริงจังแล้ว จึงปฏินิสสัคคะ จึงจะกลับมามี สิ่งนี้บ้าง แต่ไม่ใช่เราเสพย์ จิตเรายังล่อน ยังสะอาด ยังบริสุทธิ์ ยังไม่ดูด ไม่ซึม เหมือนน้ำกับใบบอน ได้จริงๆ อันนี้จึงเป็นสิ่งที่ เหมือนมายา เราว่าไม่ แต่เราก็สัมผัสอยู่ ตัวนี้เป็นตัวที่ อาศัยความจริง เป็นสัจธรรม ของแต่ละบุคคล

ถ้าเราคดโกงคนอื่น เราก็คดโกงคนอื่น เรารู้ความจริงว่า เรามีเชื้อแห่งความชอบ ความติด ความยึด อยู่หรือไม่ เราต้องแน่ใจ ให้ได้น่ะ ที่สุดแม้แต่ปัจจัย ๔ ดังกล่าวแล้ว อาหาร อย่างนี้เป็นต้น มันก็ยังทิ้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไปทีเดียวไม่ได้ มันยังมีอยู่ รู้รส มันก็มีรส ของรสมันน่ะ กลิ่นมันก็มี สัมผัสมันก็มี เราเอง เราก็จะต้อง รู้เท่าทันว่า เราเอง เราเป็นทาสรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นอยู่ จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น การกินอาหาร ทุกมื้อ ทุกคำข้าว เราต้องเอา ให้ละเอียดลออ สะอาด หมดจด อ่านจิต อย่างสนิทเลยว่า เราไม่ได้เป็นทาส สิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ว่า มันจะปรุงมา ในรูปร่างไหน เราจึงจะเป็น คนแยบคาย และเป็นคน อยู่เหนือสิ่งนี้ โดยตัวเองรู้ ตัวเองโกหกเขา บอกแล้วว่าได้ ซ่อนแฝงได้ แต่จริงๆ ใจจริง จนเราสบายแล้ว เราไม่ต้องเป็นสิ่งนี้ ไม่ต้องเป็นทาสอันนี้ ขาดหายไปเลย ไม่มีสิ่งอย่างนี้เลย รูปก็ดี รสก็ดี กลิ่นก็ดี สัมผัสก็ดี อย่างนี้ไม่มีเลย เราก็ไม่เป็นไรน่ะ

ขอให้ทุกคน ต้องพยายามแยบคาย อย่าซ่อน อย่าแฝง ให้มันช้าเสียเวลา ให้มันตายดูซิ ถ้าเผื่อว่า รูปอย่างนี้ รสอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ เราจะเลิกไม่ได้ เราเลิกได้ สิ่งที่มันเป็นรส เป็นกลิ่นอย่างนี้ แต่มันมีธาตุ ที่จะใช้ ในชีวิตนั้น มันมีอยู่ เราก็อาศัยธาตุเหล่านั้น จากสิ่งที่ เราได้ชอบ ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราไปติด ลองดูให้ได้น่ะ

นี้เป็นนัยที่แยบคาย จะต้องอบรม จะต้องปฏิบัติจริง ไม่ใช่นั่งเดา ไม่ใช่นั่ง คิดคะเนเอง แต่ต้องเห็นตรงเลยว่า อาการจิต ไม่เกิด หรืออาการจิต ยังมีการเกิด ยังมีการอาลัย อาวรณ์ ยังมีการอาศัย ยังมีการดูดซึมอยู่ แม้เล็กน้อย เราก็จะต้อง แยบคาย รู้เท่ารู้ทันจริงๆ เราจึงจะเป็นคน ละเอียดลออ และ สามารถ ที่จะปฏิบัติอื่นๆ เราก็มีจิตแยบคายอันนี้ สามารถลีลาท่าที ของความเป็น ความดูด หรือ ความผลัก ของมันน่ะ เรียกด้วยภาษาง่ายๆ หรือเป็นสภาพ ของราคะ โทสะ โดยภาษา วิชาการ ทางธรรมน่ะ เราก็จะอย่าง ละเอียดลออ ที่เป็นที่สุด

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรา สังวรระวัง ปฏิบัติธรรม ด้วยรูปวิธี ด้วยกลเม็ด อย่างที่ศาสนา ทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า ได้วางไว้ ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การกินอาหาร จึงฝึกปรือได้ อย่างเป็นหลัก แล้วเราก็จะได้ สภาพจิต มีปัญญา จิตที่สะอาด จิตที่จะแนบเนียน ไปใช้ในการ ปฏิบัติธรรม ในปัจจัยอื่นๆได้อีก นานัปการ ทีเดียว เรื่องอาหาร หรือ โภชเนมัตตัญญุตา จึงเป็นเรื่องสำคัญ มากที่สุด ถึงปานฉะนี้

สาธุ.